15 มิถุนายน 2558

ดองกิโฮเต้ Don Quijiote

JR Pass ราคาถูก

     ดองกิโฮเต้ เป็นร้านดิสเคานท์สโตร์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศญี่ปุ่น ครบครันตั้งแต่สินค้าแบรนด์เนมไปจนถึงสิ่งของในชีวิตประจำวัน คิดถึงการช้อปปิ้ง คิดถึง ดองกิโฮเต้
ดองกิโฮเต้ คืออะไร ???



     บริษัท ดองกิโฆเต้ จำกัด เปิดทำการสาขาแรกในปี 1989 ภายใต้คอนเซ็ปต์ สะดวกขึ้น, ประหยัดกว่า, ช้อปสบาย ได้ทำการขยายกิจการธุรกิจหลักประเภทดิสเคาน์สโตร์ ตั้งแต่นั้นมา เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า ทางร้านเปิดให้บริการจนถึงดึกโดยจำหน่ายสินค้าตั้งแต่ของใช้ประจำวันไปจนถึงสินค้าแบรนด์เนม 


     ปัจจุบัน บริษัทมีจำนวนร้านสาขาในเครือทั้งหมดกว่า 258 แห่ง ยอดขายกว่า 568,000 ล้านเยน (ประมาณ 180,000 ล้านบาท) และมีทีท่าที่จะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วอีกด้วย



     จุดดึงดูดร้านดองกิโฮเต้สำหรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ
  1. One Stop Shopping นักท่องเที่ยวที่มีตารางแน่นเอี๊ยด การจะไปเลือกซื้อของฝากตามห้างสรรพสินค้า ร้านเครื่องใช้ไฟฟ้า หรือซูเปอร์มาเก็ตนั้นคงเป็นเรื่องที่ยุ่งยาก เพียงแค่ท่านมายังร้านดองกิโฮเต้ เรามีสินค้าเกือบทุกประเภทให้ท่านได้เลือกซื้อได้อย่างสะดวกสบายในที่เดียว 
  2. ถูกสุดๆ ถ้าเป็นร้านดองกิโฮเต้ ท่านไม่จำเป็นต้องซื้อสินค้าราคาเท่ากับห้างสรรพสินค้าอีกต่อไป ด้วยราคาที่ถูกกว่า หมดกังวลได้กับค่าใช้จ่ายของที่ระลึกที่บานปลาย
  3. เปิดให้บริการจนถึงดึก ไม่มีวันหยุดตลอด 365 วัน ร้านดองกิโฮเต้เปิดบริการตั้งแต่ 10 โมงเช้าจนถึงดึก แม้ว่าจะไปทัวร์มาตลอดทั้งวัน หลังกลับมาโรงแรมแล้ว ก็ยังสามารถเดินเลือกซื้อสินค้าได้อย่างสบายใจ (เปิดบริการ 24 ชม. เฉพาะบางสาขา) 
  4. ร้านดองกิโฮเต้มีสาขาทั่วประเทศ ไม่เพียงแต่โตเกียว หรือโอซาก้า แม้แต่ฮอกไกโดจนถึงคิวชูเรามีสาขาร้านมากกว่า 200 แห่ง ไม่ว่านักท่องเที่ยวจะไปยังส่วนไหนของประเทศญี่ปุ่น  มั่นใจได้ว่าท่านจะสามารถแวะไปยังร้านดองกิโฮเต้ได้อย่างง่ายดาย
  5. ฟรี Wifi ที่ร้านดองกิโฮเต้ สำหรับสมาร์ทโฟน Android และ iPhones
  6. บริการข้อมูลร้านรวมถึงระบบกระจายเสียงภายในร้านหลายภาษา ร้านดองกิโฮเต้ จัดทำแผนผังอธิบายชั้นไว้อย่างสมบูรณ์ทั้งภาษาอังกฤษ, จีน, เกาหลี สินค้าในแต่ละประเภทมีการจัดวางแนะนำจุดขายไว้อย่างเป็นระบบ หมดห่วงเรื่องหาสินค้าไม่เจออีกต่อไป
  7. รองรับบัตรเครดิตทุกประเภท 
  8. บริการ Call Center หลายภาษาสำหรับนักท่องเที่ยว ตลอด 24 ชั่วโมง ตลอด 365 วัน

     ขอบคุณข้อมูลดีๆและภาพสวยๆ จาก Don Quijiote Co., Ltd. (www.yokoso-world.jp)
     เรียบเรียงโดย บริษัท วิสม่า ทราเวิล จำกัด


วิสม่า พาเที่ยว                    


9 มิถุนายน 2558

สัมผัสมนตร์เสน่ห์แห่งมาเก๊า

 
สัมผัสมนตร์เสน่ห์แห่งรสชาติอาหารนานาชาติ 
     นับตั้งแต่ชาวชาวโปรตุเกสเดินทางเข้ามายังดินแดนในแถบเอเชีย ก็ได้นำเอาตำรับอาหาร เครื่องเทศที่สรรหามาจากประเทศต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นแอฟริกา อเมริกาใต้ อินเดีย รวมถึงประเทศตนเอง นำมาปรุงแต่งรสชาติ ผสมผสานกับชาติของอาหารจีน จนเกิดเป็นอาหารสากลขนานแท้ขึ้นมา เมื่อมาถึงมาเก๊าอย่าพลาดชิม “อาหารแมกคานีส” ที่ถือเป็นอาหารประจำชาติและยังถือเป็นต้นตำรับอาหารฟิวชั่นของโลกอีกด้วย ในขณะเดียวกันคุณก็ยังสามารถเลือกลิ้มลองรสชาติความอร่อยแบบนานาชาติได้อย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นอาหารโปรตุเกส อาหารญี่ปุ่น อาหารอิตาเลียน อาหารแอฟริกัน อาหารมลายู หรืออาหารจีนทุกประเภท ซึ่งมีร้านอาหารพร้อมให้บริการ ตอบสนองทุกความต้องการและงบประมาณของคุณ

สัมผัสเสน่ห์ยุโรปน้อยแห่งเอเชีย 
    กว่า 4 ศตวรรษมาแล้วที่มาเก๊าเต็มไปด้วยสถาปัตยกรรมจากหลากหลายวัฒนธรรม จวบจนกระทั่งวันนี้สีสันของสถาปัตยกรรมที่งดงามยังคงมีให้เห็นอยู่ทั่วไปในมาเก๊า ตึกรามบ้านช่องและอาหารโบราณต่างๆ ที่มีมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์หมิง หรือโบสถ์เก่าแก่ลักษณะสถาปัตยกรรมบาโรกหรือโคโลเนียล ตั้งแต่ศตวรรษที่ 18 ป้อมปราการสมัยศตวรรษที่ 17 บนยอดเขาโรงละครเก่าแก่สไตล์ยุโรป รวมไปถึงประภาคารและตึกสไตล์โคโลเนียลสีสันสดใส ก็มีให้ชื่นชมความงามกันได้อย่างเต็มตา

สัมผัสความสนุกกับกิจกรรมกลางแจ้งสุดมันส์ฟรี
     ในมาเก๊ามีทางเดินชมธรรมชาติมากมายที่ออกแบบไว้สำหรับเดิน วิ่งจ๊อกกิ้ง หรือปีนเขา ซึ่งมีอยู่ทั่วไปทั้งในเมืองและบนเกาะ นับตั้งแต่เส้นทางบริเวณรอบเนินเขาเกีย ซึ่งคุณสามารถเพลิดเพลินไปกับทัศนียภาพที่สวยงามของเมืองและริมฝั่งน้ำ ในขณะที่เดินไปตามเส้นทาง Praia Grande ก็ทำให้คุณได้สัมผัสกับวิถีชีวิตของคนในท้องถิ่น ที่พานกในกรงมาเดินเล่น

สถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของมาเก๊า
  • ซากประตูโบสถ์เซนต์ปอล และพิพิธภัณฑ์ศาสนศิลป์ (The Ruins of St. Paul’s & Museum of Sacred Art)
บริเวณใจกลางย่านเมืองเก่าคือที่ตั้งของซุ้มประตูแกะสลักด้วยหิน และบันไดทางขึ้นอันสง่างามของโบสถ์เซนต์ปอล อันเป็นสิ่งหลงเหลือเพียงอย่างเดียวของโบสถ์ และโรงเรียนสอนศาสนาแห่งแรกของคณะนักบวชเยซุอิตในประเทศจีน โบสถ์แห่งนี้ได้รับการออกแบบโดยนักบวชเยซุอิตชาวอิตาลี โดยได้รับความช่วยเหลือในการก่อสร้างจากช่างหินคริสเตียนชาวญี่ปุ่น ผู้หลบหนีการล่าตัวจาการเข้ารีตมาจากญี่ปุ่น โดยตัวโบสถ์สร้างขึ้นเมื่อต้นศตวรรษที่17 แต่ในปี ค.ศ.1835 ได้ถูกเพลิงไหม้จนเหลือแต่เพียงซากประตูด้านหน้าที่บอกเล่าเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ของศาสนาคริสต์ในเอเชีย และยังประกอบด้วยข้อพระคัมภีร์ในภาษาจีนและสัญลักษณ์รูปดอกเบญจมาศของญี่ปุ่น รวมถึงรูปปั้นบรอนซ์ของเหล่านักบุญซึ่งพบเพียงที่เดียวในโลก พิพิธภัณฑ์ศาสนศิลป์ ถูกสร้างขึ้นในบริเวณห้องใต้ดินของโบสถ์และได้รวบรวมรูปปั้น แท่นบูชาและภาพเขียนในสมัยศตวรรษที่ 17 เช่น ภาพวาดของศิลปินญี่ปุ่นเป็นภาพการถูกตรึงไม้กางเขนของชาวคริสต์ที่นางาซากิ และเทวทูตไมเคิลในรูปแบบซามูไร
  • ป้อมปราการและพิพิธภัณฑ์มาเก๊า (Mount Fortress & Museum of Macau) 
สร้างขึ้นโดยนักบวชเยซุอิตเพื่อใช้เป็นศูนย์รวมทางศาสนาในเวลาไล่เลี่ยกับการสร้างโบสถ์เซนต์ปอล ตัวป้อมปราการนั้นใช้เป็นกำแพงเมืองเพื่อป้องกันการรุกรานของชาวดัตซ์ในปี ค.ศ. 1622 และต่อมาได้ใช้เป็นบ้านพักของผู้ว่าการมาเก๊า ปัจจุบันถูกดัดแปลงให้เป็นพิพิธภัณฑ์มาเก๊า ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ภายในป้อมและฐานปืนใหญ่ ใช้จัดแสดงประวัติศาสตร์ และวิถีวัฒนธรรมมาเก๊าในช่วง 4 ศตวรรษที่ผ่านมา โดยเน้นย้ำถึงลักษณะของเมือง 2 วัฒนธรรมที่แตกต่างกันในเรื่องความเชื่อ งานเทศกาล ธรรมเนียมประเพณี สถาปัตยกรรม กีฬา ศิลปะ ไปจนกระทั่งเรื่องอาหาร แต่ขณะเดียวกันก็แสดงให้เห็นถึงการผสมผสานทางวัฒนธรรมที่ก่อกำเนิด สังคมมาเก๊าที่มีเอกลักษณ์เช่นทุกวันนี้
  • จัตุรัสเซนาโด้และโบสถ์เซนต์โดมินิก (Senado Square & Dominic’s Church) 
จัตุรัสหลักของมาเก๊าแห่งนี้ โดดเด่นด้วยพื้นถนนที่ปูลาดด้วยกระเบื้องโมเสกเป็นลอนคลื่น โดยช่างฝีมือชาวโปรตุเกส โดยลาดกระเบื้องยาวตั้งแต่จัตุรัสเซนาโด้ไปจนถึงโบสถ์เซนต์ปอล จัตุรัสนี้นับได้ว่าเป็นศูนย์กลางของเมืองมานานหลายศตวรรษ ซึ่งในปัจจุบันได้ถูกปรับให้เป็นถนนคนเดิน อันประกอบไปด้วยน้ำพุ ต้นไม้ ม้านั่ง คาเฟ่ และพื้นที่สำหรับจัดงานเทศกาล โดยสุดฝั่งด้านหนึ่งของจัตุรัสคือที่ตั้งของสำนักงานเทศบาลมาเก๊า (หรือชื่อเดิมว่า รอยัล ซีเนท) ส่วนฝั่งตรงข้ามนั้นคือสำนักแห่งความเมตตา ที่สร้างมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 16 และเป็นหน่วยงานการกุศลของโลกตะวันตกที่เก่าแก่ที่สุดในเมืองจีน ส่วนสุดอีกฟากคือโบสถ์เซนต์โดมินิก อีกหนึ่งตัวอย่างสถาปัตยกรรมแบบบาโรกที่ยิ่งใหญ่ อันเป็นผลงานของนักบวชชาวโดมินิกันในศตวรรษที่ 17 โบสถ์แห่งนี้มีชื่อเสียงมากในเรื่องแท่นบูชาที่สวยงามอลังการ เพดานไม้ที่ประดับตกแต่งอย่างงดงาม รวมถึงรูปปั้นอันล้ำค่า และศาสนวัตถุศักดิ์สิทธิ์อีกมากมาย โดยส่วนใหญ่ได้จัดแสดงไว้ภายในพิพิธภัณฑ์ ซึ่งตั้งอยู่บริเวณหอระฆังเดิม
  • ป้อมปราการและประภาคารเกีย (Guia Fortress and Lighthouse) 
ป้อมปราการเกียสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1622-1638 บนยอดเขาที่สูงสุดในคาบสมุทรมาเก๊า บริเวณนี้ถือว่าเป็นจุดชมทัศนียภาพโดยรอบเมืองมาเก๊าได้สวยที่สุด และยังเป็นที่ตั้งของประภาคารเกีย ประภาคารเก่าแก่บนชายฝั่งทะเลจีน ซึ่งสร้างมาตั้งแต่ปี ค.ศ.1864 และยังคงใช้งานส่องทิศทางเรื่อยมาจนกระทั่งถึงปัจจุบัน นอกจากเป็นป้อมปราการแล้ว ภายในป้อมแห่งนี้ยังมีโบสถ์เล็กๆ เพื่อใช้ประกอบพิธีทางศาสนาคริสต์ ผนังโบสถ์ด้านในตกแต่งไว้ด้วยลวดลายของภาพเขียนสีโบราณที่สร้างขึ้นในปี ค.ศ.1637 นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางขึ้นไปยังป้อมปราการเกียได้โดยนั่งเคเบิลคาร์ที่สวนสาธารณะฟลอร่า การ์เด้น
  • ประตูพรมแดนจีน-มาเก๊า (Barrier Gate) 
ประตูแห่งนี้ครั้งหนึ่งเคยใช้เป็นด่านกั้นเขตระหว่างมาเก๊าและมณฑลกวางตุ้ง ซึ่งปัจจุบันใช้เป็นจุดผ่านแดนสำหรับนักท่องเที่ยว ซึ่งประตูนี้สร้างมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1870 ได้รับการปรับปรุงและมีการก่อสร้างตัวอาคารขึ้นมาเพิ่มเติม และประดับด้วยบทกลอนของคาโมเอส กวีชาวโปรตุเกส ภายในบริเวณประกอบด้วยสวนขนาดเล็ก และภาพกระเบื้องเซรามิกขนาดใหญ่ ส่วนอีกฝั่งหนึ่งของประตูพรมแดนคือเขตเศรษฐกิจพิเศษของเมืองจูไห่
  • สวนสาธารณะเลาลิมเอี๊ยคและบ้านวัฒนธรรมชามาเก๊า (Lou Lim Loc Garden / Macau Tea Culture House) 
ช่วงปลายศตวรรษที่ 19 หลู่ เกา ขุนนางชั้นสูงของจีนได้สร้างสวนแบบซูโจวที่สวยงามดุจภาพวาดของจีนขึ้น ภายในสวนแห่งนี้เต็มไปด้วยบรรยากาศความร่มรื่นของป่าไผ่ ทะเลสาบ ภูเขาจำลอง เก๋งจีน รวมไปถึงบ้านสไตล์วิกตอเรียน โดยบ้านหลังนี้เคยต้อนรับ ดร.ซุน ยัต เซ็น ผู้ก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีนยุคใหม่ จนต่อมาสวนแห่งนี้ได้ตกเป็นสมบัติของทางการ และได้รับการบูรณะใหม่เป็นอย่างดี โดยปัจจุบันสวนแห่งนี้เป็นสถานที่พักผ่อนยอดนิยมของชาวมาเก๊า ที่ชอบรำไทเก็ก และเต้นบอลรูม บ้านวัฒนธรรมชามาเก๊าในสวนสาธารณเลาลิมเอี๊ยคกินพื้นที่มากถึง 1,076 ตารางเมตร สร้างด้วยสถาปัตยกรรมแบบโปรตุเกสแท้ แต่ตกแต่งหลังคาในสไตล์แบบจีน ซึ่งถือเป็นเอกลักษณ์และแสดงออกถึงการผสมผสานของ 2 วัฒนธรรมได้เป็นอย่างดี
  • โบสถ์เพนญ่า (Penha Church) 
ด้านใต้สุดของคาบสมุทรมาเก๊าบนยอดเขาเพนญ่า อันเป็นที่ตั้งของวังแห่งบิชอปอันสว่างาม ภายในบริเวณประกอบด้วยหอสวดมนต์ขนาดเล็ก อันเป็นจุดสุดท้ายของขบวนแห่พระแม่ฟาติมาในวันที่ 13 พฤษภาคม โบสถ์ในปัจจุบันเป็นอาคารที่สร้างขึ้นแทนของเดิม ซึ่งเคยเป็นที่สักการบูชาของลูกเรือและนักเดินทางที่ต้องเดินเรือไปในเส้นทางอันตราย บริเวณด้านหน้าโบสถ์เป็นสนามหญ้ากว้างที่สามารถมองเห็นทัศนียภาพที่สวยงามของเมืองมาเก๊า อ่าว Praia และเกาะไทปาได้
  • วัดอาม่า (A-Ma Temple) 
วัดที่มีชื่อเสียงและสวยงามมากที่สุดในมาเก๊า รวมถึงยังเป็นที่มาของคำว่า “มาเก๊า” อีกด้วย ภายในวัดประกอบด้วยศาลา 4 ชั้น ที่หันหน้าออกสู่อ่าวเบื้องล่าง นอกจากนั้นยังมีทางแห่งสายลม (Winding Paths) และประตูพระจันทร์ (Moon Gate) ที่อุทิศให้แด่ ตินเฮา เทพศักดิ์สิทธิ์ในลัทธิเต๋า และเจ้าแม่กวนอิม บริเวณทางเข้ามีก้อนหินใหญ่ที่สลักรูปเรือสำเภาเอาไว้ ส่วนด้านตรงข้ามกับวัดเป็นพิพิธภัณฑ์ทางทะเล ซึ่งจัดแสดงวิถีชีวิตของชาวมาเก๊าที่ผูกพันกับท้องทะเล โดยวัดอาม่าแห่งนี้ยังเป็นสถานที่ยอดนิยมที่ศิลปินเดินทางมาใช้เป็นแหล่งสร้างสรรค์ผลงานมากมาย ซึ่งรวมถึง จอร์จ ชินเนอรี่ (George Chinnery) และออกัส บอร์เกต์ (Auguste Borget) ด้วย
  • ศูนย์วัฒนธรรมมาเก๊า (Macau Cultural Centre) 
ตัวอาคารที่ออกแบบก่อสร้างด้วยสถาปัตยกรรมทันสมัยคล้ายคลื่นยักษ์ จนกลายเป็นหนึ่งในแลนด์มาร์กของมาเก๊าในปัจจุบัน ภายในมีห้องประชุมที่จุผู้ชมได้มากถึง 1,200 ที่นั่งโดยส่วนใหญ่มักใช้จัดงานแสดงดนตรี และละครเวลทีที่สำคัญ ส่วนห้องประชุมย่อยนั้นใช้จัดการแสดงดนตรีคลาสสิก ฉายภาพยนตร์ รวมไปถึงการสัมมนา ส่วนอาคารที่ติดกันนั้นคือ พิพิธภัณฑ์ศิลปะ ที่จัดแสดงภาพสีน้ำของศิลปินชื่อดัง อย่าง จอร์จ ชินเนอรี่, จอร์จ สเมอร์นอฟ,  ออกัส บอร์เกต์ และศิลปินในช่วงศตวรรษที่ 19 รวมไปถึงงานศิลปะของจีนอย่าง เครื่องกระเบื้องเซรามิก ภาพวาดลายเส้น ตัวอักษรจีนโบราณ โดยเทศกาลงานศิลปะและดนตรีที่สำคัญของมาเก๊านั้นมักจัดขึ้นที่นี่
  • มาเก๊า ทาวเวอร์ / แหล่งบันเทิงครบวงจร และแหล่งบันจี้จัมป์ที่สูงที่สุดในโลก (Macau Tower and Entertainment Centre) 
เปิดให้บริการเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2001 มาเก๊า ทาวเวอร์มีความสูง 338 เมตร ตัวอาคารที่สร้างขึ้นอย่างใหญ่โตโอ่อ่านี้ เหมาะสำหรับการขึ้นไปชมทิวทัศน์ของตัวเมือง และสามเหลี่ยมปากแม่น้ำเพิร์ล ด้านบนบริเวณจุดชมวิวนั้นมีร้านอาหารที่มีความสูง 223 เมตร นักท่องเที่ยวสามารถทำกิจกรรมท้าทายความกล้าได้โดยการเดินชมวิวรอหอคอย หรือที่เรียกว่า สกาย วอล์ก เอ็กซ์ (Skywalk X) หรือ กระโดดสกายจัมป์ (Sky jump) ได้จากจุดกระโดดที่สูงที่สุดในโลก นอกจากนั้นแล้ว บนชั้นล่างของอาคารยังมีศูนย์ประชุมและแหล่งบันเทิงต่างๆ รวมทั้งร้านอาหาร โรงภาพยนตร์ ฯลฯ
  • พิพิธภัณฑ์หมู่บ้านไทปา (Taipa House-museum) 
ในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 ภายใต้ร่มเงาของต้นไทรริมน้ำบนเกาะไทปา คือสถานที่ที่ชาวเมืองและทางการนิยมมาลงหลักปักฐานสร้างที่อยู่อาศัย เพราะความสวยงามของพื้นที่ ต่อมาในช่วงที่ผู้คนเริ่มย้ายจากมาเก๊า ทางการจึงได้ซื้อที่ดินและปรับปรุงอาคารทั้งหมดให้สวยงามตามเดิม จนกระทั่งปัจจุบันอาคารสีเขียว-ขาว ทั้ง 5 หลัง ยังคงยืนหยัดเป็นหลักฐานความรุ่งเรืองในอดีต (รวมถึงเป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์ และฉากหลังการแต่งงานของคู่รัก) โดยอาคารหลังแรกได้ถูกปรับเป็น Taipa House-museum ซึ่งได้จัดแสดงสภาพความเป็นอยู่ในยุคแรกที่มีชาวโปรตุเกสเริ่มมาตั้งถิ่นฐานในมาเก๊า ที่มีเฟอร์นิเจอร์แบบยุโรปและแบบจีนให้ชม ส่วนหลังถัดไปคือ House of Islands อันเป็นสถานที่จัดแสดงแผนที่ รูปภาพ และความทรงจำทั้งหมด เกี่ยวกับเกาะไทปาและโคโลอาน หลังต่อไปคือ The House of the Portugal Regions จัดแสดงเครื่องแต่งกาย และเครื่องดนตรีแบบโปรตุเกส และ Exhibition Gallery จะจัดแสดงนิทรรศการทางศิลปะและภาพถ่ายหมุนเวียนให้ผู้สนใจเข้าชมได้ตลอดทั้งปี ส่วนหลังสุดท้ายที่มีขนาดใหญ่ที่สุดนั้นมักใช้เป็นสถานที่จัดงานประชุม และเลี้ยงต้อนรับแขกสำคัญๆ
  • โบสถ์เซนต์ฟรานซิส ซาเวียร์ (St. Francis Xavier Chapel) 
ตั้งอยู่ใจกลางหมู่บ้านโคโลอาน เพื่อเป็นที่ระลึกถึงนักบุญฟรานซิส ซาเวียร์ สร้างขึ้นมาเมื่อปี ค.ศ.1928 เพื่อบรรจุอัฐิของท่านนักบุญ โดยมีซุ้มประตูโบสถ์ที่มีลักษณะศิลปกรรมแบบบาโรก ทาด้วยสีขาวและสีครีม แม้ว่าภายหลังอัฐิธาตุของนักบุญฟรานซิสจะถูกเคลื่อนย้ายไปเก็บไว้ที่อื่น แต่ตัวโบสถ์ก็ยังดึงดูดผู้แสวงบุญทั้งหลายให้เดินทางมาโดยเฉพาะชาวญี่ปุ่น ด้านหน้าโบสถ์เป็นจัตุรัสแบบยุโรปปูด้วยหินและกระเบื้องโมเสก และยังมีอนุสรณ์สถานการณ์สู้รบกับโจรสลัด อีกฟากหนึ่งมีต้นไทรยักษ์และทางเดินที่มีหลังคาโค้ง ซึ่งเรียงรายด้วยคาเฟ่ตามทาง จากจัตุรัสของโบสถ์เป็นถนนที่เต็มไปด้วยร้านรวงขายสินค้า ทั้งสินค้าสไตล์พื้นเมืองไปจนถึงโบราณวัตถุ


ขอบคุณข้อมูลดีๆและภาพสวยๆ จาก Macau Guide Book 
โดย การท่องเที่ยวมาเก๊าประจำประเทศไทย (Macau Government Tourist Office)(http://th.macautourism.gov.mo)
เรียบเรียงโดย บริษัท วิสม่า ทราเวิล จำกัด www.wismatravel.com (ตั๋วถูกจัง.com)